สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ยังไม่หายไปและเริ่มกลับมารุนแรงอีกครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ นอกจากฝุ่น PM 2.5 แล้ว ยังมีอีกหนึ่งภัยที่คนไทยต้องเฝ้าระวังนั่นก็คือ ไวรัสโคโรนา หรือ ไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานี้ และวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการสวมหน้ากากอนามัย วันนี้เลยจะมาแนะนำว่าหน้ากากอนามัยแบบไหนที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ แบบไหนที่ป้องกันไวรัสนี้ได้ หน้ากากแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร มีวิธีเลือกซื้ออย่างไร รวมถึงวิธีใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง มาฝากทุกคนกันครับ

เลือกหน้ากากอย่างไร? ให้ปกป้องลมหายใจ จากฝุ่น PM 2.5 และไวรัสโคโรนา(ไวรัสโควิด-19)

หน้ากาก N95
เป็นหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานและได้รับการยอมรับ มักใช้กับบุคลากรในโรงพยาบาลที่มีโอกาสเสี่ยงพบผู้ป่วยมาก โดยประสิทธิภาพในการป้องกันของหน้ากากนี้จะสูงกว่าหน้ากากอนามัยแบบทั่วไป เพราะสามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 , PM 10 เชื้อโรคที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน และป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา(ไวรัสโควิด-19) ได้สูง ซึ่งบางรุ่นจะมีวาลว์ระบายอากาศ เพื่อช่วยในการระบายความร้อนได้

หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ
เป็นหน้ากากแบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย สามารถหาซื้อได้ทั่วไป เมื่อใส่แล้วหายใจสะดวก ช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคและแบคทีเรียจากการไอหรือจามได้ สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 และป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา(ไวรัสโควิด-19)ได้ค่อนข้างดี

ถึงแม้ว่า หน้ากาก N95 หรือ หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันค่อนข้างสูง แต่หากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่แออัดหรือพื้นที่เสี่ยง เช่น โรงพยาบาล ควรมีการเปลี่ยนหน้ากากทุกวัน ไม่ควรนำหน้ากากมาใช้ซ้ำ แต่หากไม่ได้มีความจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยง อาจนำหน้ากากมาใช้ซ้ำได้2-3วัน หากหน้ากากที่ใช้ซ้ำเริ่มหายใจยากขึ้นก็ไม่ควรนำมาใช้ซ้ำแล้ว

หน้ากาก Pitta รุ่นมาตรฐาน
เป็นหน้ากากสำหรับกรองอากาศโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะฝุ่นควัน หรือมลภาวะต่าง ๆ ซักทำความสะอาดแล้วนำมาใส่ซ้ำได้ สามารถกันฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กและเกสรดอกไม้ได้ แต่ไม่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 และเชื้อไวรัสโคโรนา(ไวรัสโควิด-19)

หน้ากากแบบผ้า
เป็นหน้ากากกันฝุ่นที่ใช้ซ้ำได้ ซักตากแห้งแล้วเอามาใช้ได้เหมือนเดิม สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 แต่ป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา(ไวรัสโควิด-19)ได้เพียงเล็กน้อย

เลือกซื้อหน้ากากอนามัย ต้องสังเกตอะไรบ้าง?

1.สังเกตว่าหน้ากากได้รับการรับรองมาตรฐานหรือไม่? เคยสังเกตไหมว่าหน้ากากบางอันก็เขียนว่า N95 บางอันก็เขียนว่า FFP2 หรือ P2 ซึ่งรหัสเหล่านี้ คือสัญลักษณ์การรับรองมาตรฐานของประเทศต่างๆ ดังนี้

FFP1 : เป็นการรับรองของฝั่งยุโรป โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 80%

FFP2 : เป็นการรับรองของฝั่งยุโรป โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 94%

FFP3 : เป็นการรับรองของฝั่งยุโรป โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 99%

P1 : เป็นการรับรองของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 80%

P2 : เป็นการรับรองของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 94%

P3 : เป็นการรับรองของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 99%

N95 : เป็นการรับรองของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 95%

N99 : เป็นการรับรองของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 99%

N100 : เป็นการรับรองของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 99.97%

2.สังเกตว่ามีอลูมิเนียมบริเวณดั้งจมูกและฟองน้ำรองด้านในหรือไม่? ลองสังเกตดูว่าหน้ากากอนามัยส่วนใหญ่จะมีอลูมิเนียมเส้นเล็กๆ คาดอยู่บริเวณดั้งจมูก ซึ่งเวลาสวมใส่เราต้องกดอลูมิเนียมให้แนบไปกับจมูกเพื่อป้องกันอากาศรั่วไหล แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเจ็บ เพราะส่วนใหญ่มักมีแผ่นฟองน้ำนุ่มๆ รองอยู่ด้านล่างเพื่อป้องกันการระคายเคืองอยู่แล้ว

3.เช็คเพื่อความชัวร์ว่าหน้ากากได้มาตรฐานหรือไม่? เพราะในช่วงที่ผ่านมามีหน้ากากอนามัย N95 ปลอมเยอะมาก ถ้าไม่เลือกดูให้ดี ก็อาจจะได้หน้ากากปลอมไปครอบครอง ซึ่งประสิทธิภาพอาจจะไม่ดีเท่ากับของแท้ ควรซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ร้านขายยา หรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ถ้าหากหน้ากากที่ซื้อเป็นของ 3M จะสามารถเช็ค Secure Code ได้ โดยดูที่ใต้กล่อง หรือข้างกล่อง จะมี Secure Code กับ Lot Code ระบุอยู่ จะรู้ทันทีว่าหน้ากากนั้นเป็นของ 3M จริงหรือเปล่า

หน้ากากอนามัยแบบทั่วไป

  1. เริ่มต้นด้วยการล้างมือให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ติดบริเวณมือ
  2. ต่อมาให้สวมหน้ากากอนามัย โดยจับห่วงทั้ง 2 ข้าง หันด้านที่มีสีเข้มออกด้านนอก แล้วเอาสีขาวเข้าหาหน้าตัวเอง
  3. จากนั้นนำสายมาคล้องหู และปรับให้พอดี แต่ไม่ควรให้หน้ากากหลวมเกินไป อาจทำให้เชื้อโรคเข้ามาได้
  4. กดตรงส่วนของโลหะให้ชิดกับสันจมูก และพับจีบลงด้านนอก จะทำให้หน้ากากอนามัยพอดีกับหน้า ดึงหน้ากากอนามัยให้ปิดบริเวณปาก จมูก และคาง เป็นอันเรียบร้อย